Archive for December 23rd, 2009|Daily archive page

Bonjour Paris! #one

กลับมาแล้ว…กลับมาอัพบล๊อกแล้วจ้า 😀 อรดามีวันหยุดหนึ่งอาทิตย์เต็มๆก่อนคริสมาสต์ เลยได้จังหวะเหมาะที่จะวางแผนไปปารีส….Paris ชั้นจะไปหาเธอ

แล้วการเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพังก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว อ่อ จริงๆก็มีอยู่บ้างที่แปลกไปจากเดิมคือหนึ่ง…เป็นการเดินทางครั้งแรกโดยรถบัส Euroline ที่ขอนิยามส่วนตัวว่า ผู้โดยสารควรตรงต่อเวลา แต่เราจะตรงหรือไม่ตรงก็แล้วแต่อารมณ์ ฮ่าๆ สอง คือที่พัก…จากปกติเคยพักโฮสเทลที่เป็นห้องหญิงล้วน คราวนี้เปลี่ยนไปพักห้องรวมชายหญิง หกเตียงเพราะไม่มีทางเลือกอื่น สาม…ใครๆก็บอกว่าคนฝรั่งเศสไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษกัน เพราะงั้นนั่นคือหนึ่งปัญหาที่แอบวิตกอยู่นิดๆ สี่…อากาศที่ต้องเผชิญ หนาวบรื๋อๆชัวร์! เตรียมพร้อมก่อนออกลุยปารีสด้วยการไปเดินเล่นที่อัมสเตอร์ดัมวันเดินทางกันก่อน กว่ารถบัสจะออกจากสถานีอัมสเตอร์ดัม อัมสเตลก็ตั้งสี่ทุ่มนู่น แต่ต้องไปเช็คอินก่อนประมาณ 1 ชม.หรือ 45 นาที เพื่อความปลอดภัยกับเงินค่าตั๋วที่จ่ายไป อิอิ

สถานีรถไฟ abcoude หลังจากหิมะตกได้สองวัน

อีกซักรูปจากอัมสเตอร์ดัม เข้าบรรยากาศคริสมาสต์ซักหน่อยนะ ^^

หนาววววว ขอซบหน่อยนะคะลุงซานต้า 😀

รถบัสออกจากสถานีตอนสี่ทุ่มกับสิบนาที(แอบเลทนิดนึงตามอารมณ์โชเฟอร์ อิอิ) พนักงานเช็คอินเก่งมาก สามารถพูดได้ทั้งฝรั่งเศส ดัตช์ และอังกฤษ โอ้ววววว อยากทำให้ได้มั่ง แต่เอาแค่ไทยกับอังกฤษก็จะไม่รอดละเนี่ย เหอๆ ขอพ่วงดัตช์ไปนิดๆหน่อยๆก็ยังดีล่ะ ส่วนคนขับรถก็พูดฝรั่งเศส…นี่ขนาดยังอยู่ดินแดนเนเธอร์แลนด์นะเนี่ย ก็มีงงกับภาษากันบ้างแล้ว จะไหวมั้ยอรดา –”

euroline ผู้โดยสารสามารถเลือกที่นั่งได้เอง เก็บกระเป๋าใต้ท้องรถเอง ขึ้นรถก่อน ได้เลือกที่นั่งก่อน ทุกสิ่งอย่างบริการตัวเอง ฮ่าๆ ต้องทำใจล่ะเพราะค่าบริการเค้าก็ถูกพอแล้ว อรดาสู้ตาย!เรื่องแค่นี้เอง เดินทางกับรถบัสก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ไม่มีเมารถ แถมขับค่อนข้างเซฟและนุ่มนวล ออกจากอัมสเตอร์ดัมก็มีผู้โดยสารไม่ถึง 20 คน แต่ก็ไปจอดแวะรับตามรายสถานีอีกประมาณ 3-4 ที่ ผู้โดยสารก็ยังไม่เต็มคัน อรดาเลยได้นอน(นั่ง)สบายบนที่นั่ง 2 ที่…รถบัสจอด 3 ครั้ง(ไม่รวมแวะรับผู้โดยสาร)ระหว่างคืน ครั้งละ 15 นาที สองครั้ง และครึ่งชั่วโมงหนึ่งครั้ง ตามปั๊มน้ำมันเพื่อให้เข้าห้องน้ำ หรือซื้อหาของกินกัน…ซึ่งอรดาไม่เคยลง! กลัวเสียเงิน เสียที่นั่ง ฮ่าๆๆ นอนให้สบายดีกว่าเรา

เจ็ดโมงเช้า ณ สถานีรถ metro ในปารีส

รถวิ่ง 8 ชั่วโมงไปถึงปารีส สถานี Gallieni ตอนหกโมงเช้า ท้องฟ้าก็ยังมืดสนิท พระอาทิตย์ยังขอนอนหลับพักผ่อน แต่ตัวเรานี้หนอต้องออกเดินทางต่อไป อิอิ…จะไปที่พักได้ยังไงนี่แหละที่ต้องเริ่มสืบเสาะ เพราะ metro มีหลายสถานี หลายสายมากกกกกกกกกกกกก แล้วอรดาต้องไปโดยเจ้า metro นี่แหละไปยังที่พักสถานี Jules Joffrin เพราะว่ามันไกลกันเหลือเกิน เค้าก็มีตู้แผนที่ให้กดปุ่มเลือกสถานี มันจะมีไฟขึ้นให้ดูว่าต้องไปตามสถานีไหนบ้าง….เฮ้อ กระดาษๆ ปากกาๆๆ จดๆๆๆๆเพื่อความชัวร์ เดินไปต่อแถวซื้อตั๋วที่ตู้พนักงานเพราะเราจะซื้อแบบ 10 ทริปจากปกติทริปละ 1.60 ยูโร(ถูกอยู่แล้ว) ซื้อ 10 ทริปรวดเดียวก็ 11.60 ยูโร ประหยัดไปตั้งสี่ยูโรสี่สิบเซ็นต์ อิอิ พนักงานเค้าก็พูดอังกฤษดีมากอยู่ ไม่ต้องกังวล 😛

district city hall

ต้องต่อรถถึงสามสาย กว่าจะถึงสถานีที่พัก แต่ไม่ได้ยากเย็นอะไรอย่างที่คิด เอ๊ะ…หรือเราเก่ง 555 ไม่หรอก มันไม่ได้งงขนาดนั้น นั่ง metrro ไม่หลง ไม่งง แต่เดินจากสถานี Jules Joffrin ไปที่พักนี่แหละที่งงแตก ฟ้าก็มืด เดินลากกระเป๋าต๊อกแต๊กหลงไปซะไกล เลยคิดว่าไม่ใช่ละเนี่ย ผิดชัวร์ เลยเดินย้อนกลับไปใหม่ที่สถานี metro แล้วเริ่มตั้งต้นใหม่ มาถึงบางอ้อ…ที่แท้เดินจาก metro ไปแค่สองนาทีก็ถึงที่พักแล้ว โธ่เอ้ยอรดา ฮ่าๆๆ เดินไปไกลเลย

พนักงานที่โฮสเทลก็พูดอังกฤษได้คล่องเช่นกัน แต่ประโยคแรกที่พูดเมื่อเจอกันคือ Bonjour! ซึ่งอรดาก็ Bonjour! กลับ…พนักงานเริ่มอ้าปากพูดฝรั่งเศส &^$&%#^ แต่ยังไม่ทันได้เริ่มประโยค เอ่ออ I would like to check in today แหะๆ เรามาพูดอังกฤษกันเถอะ 😀 เช็คอินที่นี่เริ่มตอนบ่ายสามโมง เพราะงั้นต้องฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ก่อน หยิบแผนที่ฟรีจากที่พัก นั่งกินขนมปังลูกเกดก้อนเล็กๆที่หอบมาจากบ้านเป็นอาหารเช้า กางแผนที่แล้วคิดงึมงัมคนเดียวว่าจะไปไหนดีเนี่ยเรา…ตั้งแต่เกิดมาก็ได้ยินแค่ Eiffel tower กับ Champs elysees อ่อ แล้วก็ Museum Louvre  นอกนั้นก็ต้องมาลุยกันเองที่นี่แหละ ว่าแล้วออกเดินเที่ยวตอนฟ้าเริ่มสว่าง เก้าโมงครึ่งลุยๆ เราจะไป Sacre’ Coeur กัน เป็นโบสถ์ที่สวยงาม สำคัญและโด่งดังมากๆของปารีส อยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก เดินไปก็เห็นยอดอยู่ไม่ไกลเลย

สภาพถนนที่ดูเหมือนผู้คนยังไม่ตื่นกันนัก

เดินๆไปก็เริ่มหลง หายอดโบสถ์ไม่เจอแล้ว ตึกมันยังไปหมดเลย แต่แล้วก็เจอคุณยายจูงหมาเดินเล่นอยู่ริมฟุตปาต ด้วยความเป็นคนรักหมาก็ไปจ้องหมดเค้าแล้วก็ยิ้มให้ หมามันก็เห่าๆจะเข้ามาหา…พอเค้าห้ามได้ เห็นเรากางแผนที่อยู่เลยถามมาเป็นภาษาฝรั่งเศส &$%@& ไม่รู้เรื่องเลย….เลยบอกเค้าไปเป็นภาษาอังกฤษว่าจะไปที่นี่น่ะค่ะ(พร้อมชี้นิ้วไปบนแผนที่) เค้าก็อ๋อออ พยายามอธิบายแล้วก็เรียกเด็กน้อยวัยรุ่นที่ช่วยแม่ขนของขึ้นรถอยู่แถวนั้นมาช่วยถาม เด็กก็เออๆออๆพูดอังกฤษไม่ได้เหมือนกัน คุณยายเลยพยายามอธิบายด้วยตัวเองเป็นฝรั่งเศสล้วนๆพร้อมภาษามือ  เอ่ออออ ภาษาอันหลังค่อยแปลออกหน่อย เค้าทำท่าเหมือนปั่นจักรยานแต่ใช้มือถีบเอา ไอเราก็งงว่าเฮ้ยยย ต้องเช่าจักรยานปั่นไปขนาดนั้นเลยเหรอ มันไกลหรือไร ฮ่าๆ ตอนนั้นหิมะเริ่มตกด้วย เค้าอธิบายจนจบ โอเค ตอนนี้อย่างน้อยเราก็รู้ทิศที่จะไปแล้ว เดี๋ยวก็ต้องไปหาทางกันต่อ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ…ด้วยการขอบคุณเป็นภาษาฝรั่งเศส Merci 😀

ดูเหมือนจะไม่สูงและไม่เหนื่อย แต่จริงๆสูงและเหนื่อยหอบเลย เหอะๆ

เดินๆไปหิมะก็ตกไปเรื่อย…มองหาป้ายไปเรื่อย เจอทางแคบๆมีบันไดสูง อ๋อออ ที่คุณยายแกทำท่าเหมือนปั่นจักรยานนั่นคือหมายถึงว่าต้องเดินขึ้นบันไดสูงๆนี่เอง ประมาณว่าเหนื่อยนะ ฮ่าๆๆ และก็เหนื่อยจริงๆ

ขึ้นไปก็เจอบันไดอีก เฮ้อออ

การเดินบนหิมะก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆแบบที่เคยคิด…ลื่นปรื๊ดๆเลยเนี่ย ต้องระวังทุกฝีก้าว ก่อนที่จะก้นจ้ำเบ้า โค๊ทเปื้อน บู๊ตเลอะ มือเละอีก 555 แค่ยกตัวอย่างเพราะจริงๆแล้วอรดาไม่ล้มเน้อ 😛

เดินไต่บันไดขึ้นไปอีกก็ได้เจอกับด้านหลังของ Sacre’ Coeur

หิมะที่ตกมาคืนก่อน

ด้านหลังของ Sacre' Coeur

เนื่องจากเดินมาทางด้านหลัง ก็มีคนเดินๆผ่านไปๆมาๆแค่ไม่กี่คน ในใจก็พลันคิดว่าเนี่ยนะ สถานที่ทที่นักท่องเที่ยวควรมาดู ไม่เห็นจะมีนักท่องเที่ยวเยอะเล้ยยยย มันจะน่าสนใจจริงปะเนี่ย แต่แล้วพอเดินไปด้านหน้าก็ได้รู้ว่า เอ้อ…ของเค้าดังจริง เพราะคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งฝรั่ง ทั้งทัวร์จีน(เจอทุกที่!)

ด้านหน้าของ Sacre' Coeur

ใครอ่านฝรั่งเศสออกก็แปลประวัติกันเองเน้อ อิอิ

แล้วตรงนี้ก็เป็นจุดที่สูงที่สุดที่จะมองเห็นปารีสในมุมสูงได้…สูงกว่าหอไอเฟลนะ แต่มันก็คนละอารมณ์ และคนละที่ด้วย ฮี่ๆ มองจากตรงนี้ก็สวยน่าประทับใจมากพอแล้วล่ะ สำหรับนักท่องเที่ยวงบน้อยอย่างเรา

Paris from the highest hill

เข้าชมด้านในโบสถ์ฟรี แต่ห้ามถ่ายรูปเลยได้แต่ชื่นชมอยู่คนเดียว อิอิ ใครอยากรู้ว่าเป็นยังไงก้ตามไปดูกันเองนะคะ ก็สวยงามตามสไตล์โบสถ์นั่นล่ะ

เริ่มการถ่ายรูป Self Portrat อีกแล้ว ฮ่าๆ แอบมีหิมะเกาะที่ผมด้วยนะ(รู้ว่ามองกันไม่เห็นหรอก อิอิ)

ขอแรงช่วยจากนักท่องเที่ยวใจดีซักหน่อยน่า ไหนๆก็มาแล้ว ช่วยๆกัน 😀

สวยได้แค่นี้ละค่ะ...โบสถ์ยังดูน่าสนใจกว่า

นักท่องเที่ยวเริ่มมากันมากขึ้น โดยเฉพาะพี่จีนที่โวยวาย โหวกเหวกกันมาเชียว

เดินจ้องๆมองๆ ถ่ายรูปโบสถ์มั่ง วิวมั่ง ตัวเองมั่ง แล้วก็มองหาคนอื่นที่คิดว่าน่าจะพอถ่ายรูปสวยๆให้เราได้ คนไหนสะพายกล้องเวอร์ๆหน้าตาเป็นมิตร(ถ้ามาคนเดียวได้ยิ่งดี)ก็เดินเข้าไปหาเค้า แต่ได้ค้นพบว่าคนที่มีกล้องดีๆแพงๆไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนที่ถ่ายรูปได้ดีเสมอไป เพราะตลอดทั้งทริป….รูปที่ให้คนอื่นถ่ายให้ มีที่พอใจอยู่รูปสองรูปเอง จากเป็นสิบ เฮ้อออ ทีเราถ่ายให้เค้านี่ถ่ายอย่างนิ้งเลยนะ ลงทุนนั่งยองๆเงยๆถ่ายให้ ยังใจดีบอกเค้า one more ด้วยนะเผื่อเค้าจะได้เอาไปเลือก ฮ่าๆๆ แต่ไหงทีเค้าถ่ายให้เรามันไม่ได้ดั่งใจเล้ย แถมเรายังต้องขอบอกว่า one more please อีก เหอๆ เที่ยวคนเดียวก็แบบนี้แหละทำใจ…ไม่จำเป็นต้องมีรูปสวยของตัวเองกับสถานที่ที่ไป แค่เก็บบรรยากาศความงดงามด้วยใจของเราก็เป็นพอ

เอ้า...รูปนี้แหละเห็นปุยหิมะบนผมจริงๆละ 😛

ชื่นชมที่นั่นไปได้ซักชม.กว่าๆ(ไม่แน่ใจว่าถึง) จะไปไหนต่อล่ะคราวนี้ ไม่รู้เลย แต่มองไปด้านล่างฟากด้านหน้าก็ดูเป็นร้านอาหาร ถนนเล็กๆที่มีร้านค้าขายของ คนเดินกันมากอยู่ เลยตัดสินใจกางแผนที่เพื่อความชัวร์แล้วก็นั่งเมโทรลงไป เพราะเรามีตั๋วอยู่เยอะนี่ ใช้ซะบ้างเหอะ อิอิ

ความสูงที่เดินขึ้นมาจากอีกฟากของโบสถ์ก็คงประมาณนี้แหละ --"

ถ่ายจากกระเช้า metro

คนด้านล่างก็รอขึ้นไปชมโบสถ์กัน

เดินไปตามถนน ร้านขายเสื้อผ้า หมวก ถุงมือ ผ้าพันคอกันหนาวก็เยอะ…ส่วนมากคนขายเป็นแขก ไม่งั้นก็จีน –”

คนเยอะนะเนี่ย

เดินออกจากตรงนี้ไปก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่อื่นที่จะไปต่อแล้ว…แล้วเราจะไปไหนต่อล่ะอรดา กางแผนที่โลด แล้วตามไปเที่ยวกันตอนหน้านะ อิอิ